วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

การใช้ some และ any

การใช้ some และ any


ทั้ง some และ any มีความหมายว่า "บ้าง" แต่ใช้แตกต่างกันดังนี้ 
1. some ใช้กับประโยคบอกเล่า ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ 
เช่น
I have some pens. (ฉันพอจะมีปากกาบ้าง)
John wants some water. (John ต้องการน้ำบ้าง)

There are some books on the table. (มีปากกาอยู่บนโต๊ะบ้าง)
There is some sugar in the bowl. (มีน้ำตาลทรายอยู่ในชามบ้าง)
2. any ใช้กับ
2.1 ประโยคปฏิเสธ ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะเปลี่ยนเป็น

"ไม่ ______ เลย" เช่น
I don't have any pens. (ฉันไม่มีปากกาเลยสักด้าม)
John doesn't want any water. (John ไม่ต้องการน้ำเลย)

There aren't any pencils under the table. (ไม่มีดินสออยู่ใต้โต๊ะเลยสักแท่ง)
There isn't any tea in the cup. (ไม่มีน้ำชาอยู่ในถ้วยเลย)
2.2 ประโยคคำถาม ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะเปลี่ยนเป็น

"_______ บ้างไหม" เช่น
Do you have any pens? (คุณมีปากกาบ้างไหม)
Does John want any water? (John ต้องการน้ำบ้างไหม)

Are there any books in the schoolbag? (มีหนังสืออยู่ในกระเป๋าเรียนบ้างไหม) 
Is there any coffee in the cup? (มีกาแฟอยู่ในถ้วยบ้างไหม)

มาทบทวน เรื่องTense กันค่ะ

บทนี้คงต้องมาเกริ่นก่อนว่า Tense คืออะไร ทำไมจึงเป็นไวยากรณ์ที่น่าปวดหัวที่สุด ในบรรดาไวยากรณทั้งหลาย และก่อนที่จะไปศึกษาเรื่องนี้ คุณควรมีความรู้ในเรื่องของการผัน verb, โครงสร้างประโยคคร่าวๆว่า subject คืออะไร verbคืออะไร มาบ้าง" Tense คือ... ............กาล.......หรือ.... ....เวลา
 ใช้ในการแสดง เวลา ของ การกระทำ เพื่อพูดบอกเหตุการณ์นั้นๆ ว่าเป็น ปัจจุบัน อดีต หรืออนาคต
 ก็ลองพิจารณาประโยคง่ายๆ เหล่านี้ดู
ate Khaomankai yesterday
ฉันกินข้าวมันไก่เมื่อวาน
eat Khaomankai today
ฉันกินข้าววันไก่วันนี้
will eat Khaomankai tomorrow
ฉันจะกินข้าวมันไก่พรุ่งนี้


สังเกตออกง่ายๆแล้วใช่ไหม ว่าส่วนมากเขามี การระบุเวลา ช่วยให้เราเข้าใจกันง่ายๆ จะเป็นวันนี้ เมื่อวาน พรู่งนี้ อาทิตย์หน้า ตอนนี้ เมื่อเช้า ปีที่แล้ว หรืออะไรก็ว่าไป 

จากที่บอกมา เราก็แบ่งเวลาได้เป็นสามชนิด นั้นคือ
1. Present Tense - ปัจจุบัน
2. Past Tense - อดีต
3. Future Tense - อนาคต
และในแต่ละเวลากาล จะมี Tense ย่อยๆแบ่งออกเป็นหลัก อีก 4 Tense คือ
1. Simple (แสดงเวลากระทำโดยไม่ได้กำหนดว่ากระทำเสร็จตอนไหน)
2. Continuous (แสดงเวลาว่าการกระทำที่กำลังทำอยู่ (เจาะจงเวลา))
3. Perfect (แสดงเวลาที่กระทำเสร็จไปแล้ว)
4. Perfect Continuous (แสดงเวลาการกระทำนั้นได้เริ่มทำแล้ว และยังคงทำอยู่)

ดังนั้นสรุปจากด้านบนมี 3 กาลเวลา ย่อยออกเป็นอย่างละ 4
รวมกันทั้งหมดแล้ว เราจะมี Tense รวมกันถึง 12 Tense แหนะ
Oh my god! อย่าเพิ่งสลบเหมือด ท้อแท้ที่จะศึกษาต่อละ เพราะในชีวิตจริงๆ เราใช้บ่อยๆกันไม่ครบหรอกครับ เพราะบางตัวนั้นโอกาสใช้น้อยมากๆ

 ขอแค่จำพวกนี้ให้ได้พอ...
Tense หลักพื้นฐาน 3 อย่าง
1. Present Simple:- + V1
2. Past Simple : - + V2
3. Future Simple : will,shall + Vinfinitive (V1)
ผสานกับ รูปหลัก 2 อย่าง
รูป Continuous: be + Ving
รูป Perfect : have + V3

--------------------------------------------------------------------------------

รู้แค่นี้เราก็สร้างรูปแบบ tense อื่นๆ ได้แล้ว เช่น
4. Present Continuous จะเห็นว่า คือ Present รวมกะรูป Continuous
ให้ทำดังนี้
- V1 
 be Ving

< อันบนคือ Present อันล่างคือ Continuous ให้เขียนเหลื่อมกันช่องนึง >
ซึ่งประมวลผลได้ ว่า = is,am,are + Ving(V.tobe ช่อง1คือ is,am,are )
5. Present Perfectจะเห็นว่า คือ Present รวมกะรูปPerfect
ให้ทำดังนี้
- V1 
 have V3

< อันบนคือ Present อันล่างคือPerfect ให้เขียนเหลื่อมกันช่องนึง >
ซึ่งประมวลผลได้ ว่า = has,have+ V3(Have ช่อง1คือhas,have )
พอเริ่มเข้าใจยังนะ...
ต่อไป เริ่มadvanceขึ้นแล้ว เป้นการผสม3อัน หลักการเดิมแหละ

6. Present Perfect Continuous

- V1  
 have V3 
  be Ving

Present + Perfect + Continuous เหลื่อมกันอย่างละช่อง
V1+have คือ has,have : V3 +be = been : Ving
รวมแล้วได้ = has,have + been + ving
ต่อไปลองทำเองละกันนะ จะสรุปเลยว่าได้อะไร
7. Past Perfect = had +V3
8. Past Continuous = was,were + Ving
9. Past Perfect Continuous = had + been + Ving
10. Future Perfect = will + have + V3
11. Future Continuous = will + be + Ving
12. Future Perfect Continuous = will + have + been + Ving

--------------------------------------------------------------------------------

เมื่อรู้รูปแบบแล้ว ก็มาดูกันต่อว่า มันใช้ตอนไหนกัน (จริงๆเอาแต่หลักๆก็พอ) tense ประหลาดช่างมันเหอะ )
1. Present Simple
แสดงการกระทำที่ทำเป็นประจำ มีคำบอกพวก always , often , every , seldom ( บอกว่าไม่บ่อยก็ใช่ )
แสดงความจริงทางวิทยาศาสตร์ สัจธรรม สุภาษิต
แสดงความจริงขณะที่พูดอยู่
เช่น
I watch TV everyday.
The world is round.
Dang and Dam are brothers.
2. Present Continuous
ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ มักมีคำบอกเวลา เช่น now , at the moment , litsen! look!
บอกอนาคตอันใกล้ ( coming soon )
ป.ล. กิริยาที่ใช้บ่งบอกความรู้สึก ความคิด มักไม่ใช้รูป ing เช่น see , hear , feel ,smell , want , agree (และอีกมากมาย)
เช่น
Phan talking on the phone now.
The end of Evangelionis coming soon to the theater near you.
3. Present Perfect
ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน มักมีคำว่า since , for , so far
ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่จบไปแล้ว แต่ผลของการกระทำยังอยู่
แสดงเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงไป มักมีคำว่า just , yet , already , recently , lately , finally , eventually
ใช้กับเหตุการณ์ที่ เคย/ไม่เคยทำ บอกจำนวนครั้งในอดีต มักมีคำว่า ever , never , once , twice ,again and again ...
เช่น
I have likedjapanese animationever since I was a child.
I have turned on the radio.
I have already read this book.
Have you ever been to Neo-Tokyo?
4. Present Perfect Continuous
ใช้เหมือน Present Perfect แต่เน้นความต่อเนื่องของเวลาว่ายาวนาน มักมีคำว่า all week , all day ..
และใช้เน้นว่าจำดำเนินต่อเรื่อยไปในอนาคตด้วย
เช่น
I have been sitting here since 6 o'clock ( คือเน้นว่านั่งมานานแล้วแล้วก็จะนั่งต่อไป)
แต่ถ้าเป็น I have sat here since 6 o'clock ( บอกว่านั่งมานานแล้วต่อไปจะเป็นไงไม่รู้)
5. Past Simple
ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ได้จบลงไปแล้ว มักมีคำบอกเวลาดังนี้ yesterday , in the past , ago , in 1983 (ปีอดีต) , the other day , last ( night , week ... )
คำว่า"used to" ซึ่งเป็นการใช้กับสิ่งที่เคยทำเป็นประจำในอดีต แต่ตอนนี้เลิกทำแล้ว คำว่า "used"ในความหมายนี้ จึงเติม ed เสมอ
เช่น
Dang saved my life yesterday.
She used to drink milk every night.
6. Past Perfect
ใช้เป็น Combo กับ Past Simple
โดยที่ ใช้กับเหตุการณ์ในอดีต 2 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน
ที่เกิดก่อนใช้ Past Perfect ที่เกิดที่หลังใช้ Past Simple
เช่น
She had finished her breakfast before I arrived.
7. Past Continuous
ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีต
ใช้กับ 2 เหตุการณ์ในอดีต ( Combo กับ Past Simple อีกแล้ว )
เหตุการณ์หนึ่งกำลังดำเนินอยู่ ( ใช้ Past Continuous ) แล้วก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเข้ามาแทรก ( ใช้ Past Simple )
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่ดำเนินไปพร้อมๆกันในอดีต มักมีคำว่า while , as เชื่อม
เช่น
At 8 o'clock last night , she was studying.
While I was walking down the street , it began to rain.
You were running in the park while I was swimming in the pool.
8. Past Perfect Continuous
ใช้เหมือน Past Perfect แต่เน้นว่า มีเหตุการณ์อย่างแรกดำเนินมาเรื่อยจนมีเหตุการณ์หลังเกิดขึ้น
เช่น
The police had been looking for the criminal for 2 years before they caught him.
9. Future Simple
แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต มีคำบอกเวลาคือ tomorrow , next (time,month...) , soon , shortly
be going to ต่างกับ will,shall ตรงไหน ??
will shall แสดงความเต็มใจทำให้ (ไม่ได้วางแผน)
be going to แสดงการวางแผนล่วงหน้า
แต่ถ้าคาดการณ์ว่าอาจเกิดในอนาคตใช้ได้ทั้ง2อย่าง
กรณีต่อไปนี้ห้ามใช้ be going to แทน will shall
เหตุการณ์แทนความจริง
ไม่นิยมใช้กับ V1 ที่แสดงความรับรู้ ความคิดเห็น
ไม่นิยมใช้กับ if clause
แต่ถ้าประโยคมีคำเชื่อมพวก when,before,after,as soon as,until ประโยคที่ติดกับคำเชื่อมจะเป็น present Simple แต่อีกประโยคจะเป็น Future Simple
เช่น
Ask your teacher about it. She will help you.
I'm going to paint my bedroom tomorrow.
Ice will melt in a few minutes.
I will love you forever.
I will buy you a cake if you give me money.
10. Future Continuous
ใช้กับการคาดคะเนว่าจะเกิดเหตุการณ์นั้นๆในเวลาจุดนั้นในอนาคต
เช่น
At the same time tomorrow , I will be sitting here.
11. Future Perfect
ใช้คาดการณ์ว่าจะกระทำในอนาคตและจะเสร็จสิ้นเมื่อถึงเวลาใดเวลาหนึ่ง มักมีคำว่า by next week , by tomorrw by 9 o'clock
เช่น
I will have finished my homework by the time I go out on a date tonight.
12. Future Perfect Continuous
ใช้คล้ายกับ Future Perfect แต่เน้นว่าอาจมีการดำเนินต่อไป
เช่น
I will go to bed at 10 PM. He will get home at midnight.
At midnight, I will be sleeping.
I will have been sleeping for 2 hours by the time he gets home.

--------------------------
เรื่อง Tense ที่เขียนเสร็จแล้ว + การ์ตูนคุณแป้น
Present Simple Tense - It's so Simple!

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

อาชีพครู

ครู คือ ผู้ที่มีความสามารถให้คำแนะนำ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการเรียน สำหรับนักเรียน หรือ นักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชน มีหน้าที่ หรือมีอาชีพในการสอนนักเรียน เกี่ยวกับวิชาความรู้ หลักการคิดการอ่าน รวมถึงการปฏิบัติและแนวทางในการทำงาน โดยวิธีในการสอนจะแตกต่างกันออกไปโดยคำนึงถึงพื้นฐานความรู้ ความสามารถ และเป้าหมายของนักเรียนแต่ละคน
คำว่า "ครู" มาจากศัพท์ภาษาสันสกฤต "คุรุ" และภาษาบาลี "ครุ, คุรุ"

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

การใช้ Verb to be

Verb  to  be ( is ,  am ,  are)
    Verb  to  be  มีหลักการใช้  ดังนี้
1.      ถ้าเป็นกริยาสำคัญในประโยค  มีความหมายว่า  เป็น  อยู่  คือ
2.      ใช้วางข้างหน้า กลุ่มคำ   adjective  ( คำคุณศัพท์ )
3.      ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Continuous ( ประโยคที่มี กริยา ing )
4.      ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Passive  Voice
ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ )
หลักการใช้กับประธานในประโยค
            1.  ถ้าประธานที่เป็นเอกพจน์บุรุษที่  3  ซึ่งได้แก่  He  She  It  หรือ ชื่อคนคนเดียว
     สัตว์ตัวเดียว  และสิ่งของอันเดียวที่ถูกกล่าวถึง  Verb  to  be  ที่ใช้  คือ  is   เช่น
                        *He  is  a  teacher.                               *Sam  is  a  singer
                        *She  is  in  the  room.                         *My  father   is  sleeping.
                        *It  is  a  dog.                                       *The  pencil  is  on  the  table
            2.   ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่  1  (  ผู้พูดคนเดียว ซึ่งได้แก่  I  Verb  to  be 
ที่ใช้  คือ  am
                        *I  am  a  student.                                *  I  am  under  the  table.
            3.  ประธานเป็นพหูพจน์ทุกบุรุษ  ซึ่งได้แก่  We  You  They   หรือ ชื่อคนหลาย 
     สัตว์หลายตัว และสิ่งของหลายอันที่ถูกกล่าวถึง  Verb  to  be  ที่ใช้  คือ  are  เช่น
                        *We  are  nurses.                    *My  father  and  I  are  in  the  room.
                        *They  are  policemen.           *Suda and  her  friends  are  under  the  tree.
                        *You  are  very  good.            *The  players  are  in  the  playground.